วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

ใช้ภาษาในการโต้แย้ง

ใช้ภาษาในการโต้แย้ง
การโต้แย้ง เป็นการแสดงทรรศนะที่แตกต่างกันระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย  ผู้แสดงทรรศนะต้องพยายามหาเหตุผล สถิติ หลักการ อ้างข้อมูลและหลักฐานต่างๆ มาสนับสนุนทรรศนะของตนให้น่าเชื่อถือ และคัดค้านทรรศนะของอีกฝ่ายหนึ่ง
       เรื่องที่ควรทราบเกี่ยวกับการโต้แย้ง มีดังนี้
1. โครงสร้างของการโต้แย้ง
2. หัวข้อและเนื้อหาของการโต้แย้ง
3. กระบวนการโต้แย้ง
4. การวินิจฉัยเพื่อตัดสินข้อโต้แย้ง
5. ข้อควรระวังในการโต้แย้ง
โครงสร้างของการโต้แย้ง
                โครงสร้างของการโต้แย้งคือ โครงสร้างของการแสดงเหตุผล เพราะกระบวนการโต้แย้งต้องอาศัยเหตุผลเป็นสำคัญ ซึ่งการโต้แย้งจะต้องประกอบด้วย “ข้อสรุป” และ “เหตุผล”     ดังตัวอย่าง
ทรรศนะที่ 1
นักเรียนระดับมัธยมตอนปลายของโรงเรียนนี้ส่วนใหญ่ต้องการออกไปประกอบอาชีพ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว (เหตุผล)
                   
ดังนั้นโรงเรียนของเราจึงควรเปิดรายวิชาเลือก วิชาพื้นฐานอาชีพที่มีอยู่ในหลักสูตรให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ (ข้อสรุปหรือข้อเสนอทรรศนะ)
ทรรศนะที่ 2  เรายังไม่ได้สำรวจอย่างเป็นกิจจะลักษณะเลยแม้แต่ครั้งเดียวว่า เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วนักเรียนของเราในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมุ่งหมายที่จะไปทำอะไรต่อไป จะมีก็เพียงแต่การคาดคะเนเอาเองตามความรู้สึกส่วนตัวเท่านั้น (เหตุผล)
                     ฉะนั้นเราอาจประสบความล้มเหลวก็ได้ ถ้าเรามุ่งที่จะเปิดวิชาพื้นฐานอาชีพให้มากยิ่งขึ้นกว่าที่ได้เคยเปิดมาแล้ว (ข้อสรุปหรือข้อโต้แย้งทรรศนะที่ ๑)
ทรรศนะที่ 3การสอบเข้ามหาวิทยาลัย น่าจะสอบครั้งเดียวก็พอ จะได้ลดภาวะความเครียดของเด็ก สอบครั้งเดียวก็น่าจะตัดสินได้ เพราะเด็กที่เก่ง จะสอบกี่ครั้งก็ได้คะแนนดีทุกครั้ง
ทรรศนะที่ 4เด็กที่จะเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น ควรต้องผ่านการทดสอบหลายๆ ด้าน การวัดเฉพาะความรู้เพียงอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องมีการวัดด้านความถนัดด้วย เพราะการเรียนในระดับสูงเด็กต้องวิเคราะห์เป็น สังเคราะห์ได้ รู้จักเชื่อมโยง และการสอบหลายครั้งทำให้เด็กได้มีโอกาสเลือก
                โครงสร้างของการโต้แย้งอาจขยายกว้างออกไปเป็นเหตุผลหลายข้อประกอบกัน และมีข้อสรุปหลายข้อด้วยก็ได้ ข้อสนับสนุนและข้อสรุปจะสั้นยาวเพียงใด อยู่ที่ดุลพินิจของผู้โต้แย้ง
หัวข้อและเนื้อหาของการโต้แย้ง
                ตามปกติหัวข้อและเนื้อหาของการโต้แย้งกว้างขวางมากไม่มีขอบเขตจำกัด  แต่ในการโต้แย้งจริงๆ ต้องกำหนดประเด็นในการโต้แย้งเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน โต้แย้งกันให้ตรงประเด็น ไม่ออกนอกเรื่อง ผู้ที่เริ่มการโต้แย้งควรเสนอสิ่งที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ฝ่ายตรงข้ามอาจคัดค้านการเปลี่ยนแปลงนั้น โดยอ้างเหตุผลมาหักล้าง เพื่อชี้ให้เห็นว่าข้อเสนอนั้นไม่เหมาะสม หรือไม่มีประโยชน์
กระบวนการโต้แย้ง
                กระบวนการโต้แย้งมี 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. การตั้งประเด็นในการโต้แย้ง
2. การนิยามคำสำคัญในประเด็นในการโต้แย้ง
3. การค้นหาและเรียบเรียงข้อสนับสนุนทรรศนะของตน
4. การชี้ให้เห็นจุดอ่อนของทรรศนะฝ่ายตรงข้าม
 การตั้งประเด็นในการโต้แย้ง
                การตั้งประเด็นในการโต้แย้ง หมายถึง คำถามที่ก่อให้เกิดการโต้แย้งกัน ซึ่งผู้โต้แย้งต้องรู้จักวิธีการตั้งประเด็นโดยไม่ให้ออกนอกประเด็น การโต้แย้งจะต้องรู้ว่ากำลังโต้แย้งเกี่ยวกับทรรศนะประเด็นใด เพื่อจะได้ไม่ได้แย้งออกนอกประเด็น  แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. การโต้แย้งเกี่ยวกับนโยบายเพื่อให้เปลี่ยนแปลงสภาพเดิม การโต้แย้งประเภทนี้เริ่มจากมีผู้เสนอทรรศนะของตน เพื่อให้บุคคลอื่นพิจารณายอมรับ  ผู้เสนอทรรศนะก็จะหาเหตุผลมาสนับสนุนข้อเสนอของตน ชี้ให้เห็นว่าหลักการเดิมนั้นมีจุดอ่อนจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง  แล้วเสนอหลักการใหม่ที่จะแก้ไขจุดอ่อนนั้นได้ และชี้ให้เห็นผลดีที่ได้รับจากหลักการใหม่นั้น การโต้แย้งประเภทนี้มีข้อที่ควรคำนึงของทั้งฝ่ายเสนอและฝ่ายโต้แย้งดังนี้
ฝ่ายเสนอ                                                                             
ประเด็นที่ 1  ชี้ให้เห็นข้อเสียหายของสภาพเดิม                                        
ประเด็นที่ 2  เสนอว่าการเปลี่ยนแปลงสามารถแก้ไขข้อเสียหายได้       
ประเด็นที่ 3  ชี้ให้เห็นผลดีของข้อเสนอ                                                       
ฝ่ายโต้แย้ง
ประเด็นที่ 1 ชี้แจงว่าไม่มีข้อเสียหาย หรือมีก็ไม่มากนัก
ประเด็นที่ 2  แย้งว่าข้อเสนอนั้นปฏิบัติได้ยาก
ประเด็นที่ 3  แย้งให้เห็นว่าเป็นตรงกันข้าม
                2. การโต้แย้งเกี่ยวกับข้อเท็จจริง ฝ่ายเสนอและฝ่ายโต้แย้ง ควรคำนึงในเรื่องต่อไปนี้
ฝ่ายเสนอ                                                                             
ประเด็นที่ 1  เรื่องนำมาอ้างมีอยู่จริง อยู่ที่ไหน                                           
ประเด็นที่ 2  การตรวจสอบว่าเรื่องนั้นมีจริงๆ สามารถตรวจสอบได้
ฝ่ายโต้แย้ง
ประเด็นที่ 1  แย้งว่าเรื่องนั้นไม่มีอยู่จริง
ประเด็นที่ 2  แย้งว่าได้ตรวจสอบแล้ว แต่ไม่ปรากฏว่ามี
3. การโต้แย้งเกี่ยวกับคุณค่า  การโต้แย้งประเภทนี้จะมีความรู้สึกส่วนตัวแทรกอยู่ด้วย
การนิยามคำสำคัญในประเด็นในการโต้แย้ง
                การนิยาม คือ การกำหนดความหมายของคำว่า คำ ที่ต้องการจะโต้แย้งนั้นมีขอบเขตความหมายอย่างไร เพียงใด  เพื่อการโต้แย้งจะได้เข้าใจตรงกัน ไม่ให้สับสน วิธีการนิยามอาจทำได้โดยใช้พจนานุกรม สารานุกรม หรือนิยามด้วยการเปรียบเทียบ หรือยกตัวอย่างก็ได้
การค้นหาและเรียบเรียงข้อสนับสนุนทรรศนะของตน
                ทรรศนะจะน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับข้อสนับสนุนผู้โต้แย้งต้องพยายามแสดงทรรศนะที่มีข้อสนับสนุนที่หนักแน่น หลักฐานและเหตุผลต่างๆ เกี่ยวโยงสัมพันธ์กันอย่างน่าเชื่อถือ วิธีการเรียบเรียงข้อสนับสนุนเป็นเรื่องสำคัญ เริ่มตั้งแต่ส่วนอารัมภบทต้องดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง ชวนให้ติดตามการแสดงทรรศนะนั้น สาระสำคัญที่เป็นประเด็นการโต้แย้งต้องแสดงข้อสนับสนุนอย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง และตรงตามความเป็นจริง
การชี้ให้เห็นจุดอ่อนของทรรศนะฝ่ายตรงข้าม
                จุดอ่อนของทรรศนะของบุคคลจะอยู่ที่การนิยามคำสำคัญ ปริมาณและความถูกต้องของข้อมูล และสมมติฐานและวิธีการอนุมาน  ผู้โต้แย้งจะต้องชี้ให้เห็นจุดอ่อนของการนิยามของฝ่ายตรงข้ามว่ามีจุดอ่อนอย่างไร
                จุดอ่อนในด้านการนิยามคำสำคัญ  นิยามที่ดีจะต้องชัดเจน รัดกุม  นิยามที่ไม่ดี มีลักษณะดังนี้
1.  นำเอาคำที่นิยามไปบรรจุไว้ในข้อความที่นิยาม
2.  ข้อความที่ใช้นิยามมีถ้อยคำที่เข้าใจยากจนสื่อความหมายไม่ได้
3.  ผู้นิยามมีเจตนาไม่สุจริต สร้างข้อโต้แย้งให้เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตน
จุดอ่อนในด้านปริมาณและความถูกต้องของข้อมูล หมายถึง ข้อมูลที่นำมาแสดงทรรศนะผิดพลาดหรือน้อยเกินไป ทำให้ไม่น่าเชื่อถือ
จุดอ่อนในด้านสมมติฐานและวิธีการอนุมาน สมมติฐานหรือการอนุมานจะด้วยวิธีใดก็ตาม ต้องเป็นที่ยอมรับเสียก่อน กล่าวคือ ต้องเป็นสมมติฐานที่ไม่เลื่อนลอย เป็นวิธีการอนุมานที่ไม่มีความผิดพลาด  ถ้าชี้ให้เห็นว่าสมมติฐานมีจุดอ่อน ไม่ควรค่าแก่การยอมรับวิธีการอนุมานผิดพลาด ก็จะทำให้ทรรศนะนั้นมีน้ำหนักน้อย ไม่น่าเชื่อถือ
การวินิจฉัยเพื่อตัดสินข้อโต้แย้ง
                การที่จะตัดสินว่าทรรศนะของฝ่ายใดควรแก่การยอมรับ หรือไม่ยอมรับนั้น  มี 2 วิธี คือ
1. พิจารณาเฉพาะเนื้อหาสาระที่นำมาโต้แย้งกันเท่านั้น
2. พิจารณาโดยใช้ดุลพินิจในคำโต้แย้งของทั้งสองฝ่ายโดยละเอียด
ข้อควรสังเกตในการโต้แย้ง มีดังนี้
1. การโต้แย้งทำให้มีความคิดที่กว้างไกลขึ้น มองเห็นผลดีและผลเสียชัดเจนขึ้น
2. การโต้แย้งไม่กำหนดระยะเวลา วิธีการ จำนวนบุคคล และสถานะของผู้โต้แย้ง
3. การโต้แย้งแตกต่างจากการโต้เถียง เพราะเป็นการใช้ความคิดและวิจารณญาณที่อาศัยเหตุผลและหลักฐานเป็นสำคัญ
ข้อควรระวังในการโต้แย้ง
                1.  หลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ พยายามทำใจให้เป็นกลาง เคารพในเหตุผลของกันและกัน โต้แย้งให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์
2.  มีมารยาทในการโต้แย้ง ควรใช้ภาษาที่สุภาพ เหมาะสมกับบุคคล สถานที่ และเนื้อหา  แสดงความอ่อนน้อมและมีสัมมาคารวะ
3.  เลือกประเด็นในการโต้แย้งเพื่อให้เกิดประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ หลีกเลี่ยงประเด็นที่ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงที่แน่นอน หรือประเด็นที่โต้กันแล้วจะทำให้เกิดการแตกแยกเข้าใจผิด ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์

*****************************

1 ความคิดเห็น:

  1. คล้ายกับเนื้อหาในหนังสือที่หนูเรียน แต่ในหนังสือเนื้อหาเยอะมาก มาเจอสรุปอันนี้ดีมากๆเลยค่ะ อ่านแล้วเข้าใจ ขอบคุณมากๆค่ะ

    ตอบลบ